วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

จิตวิทยาในสามก๊กของโจโฉและเล่าปี่ - "โยนหินถามทางวิจารณ์วีรบุรุษ" หลักของการบริหารจัดการและจิตวิทยา

     สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่านวันนี้ผมจะนำเสนอเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสามก๊กที่เป็นเหตุการณ์ย่อยในเรื่อง ซึ่งอาจจะดูเป็นเหตุการณ์ที่เล็กมากจนไม่สำคัญเลย แต่เราสามารถนำจุดนี้มาใช้ศึกษาได้เช่นกัน เหตุการณ์ที่ว่าคือ การโยนหินถามทางของโจโฉ หลังจากการปราบลิโป้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเมืองฮูโต๋


     หลักการโยนหินถามทางนั้นเป็นหลักการลองใจคนว่ามีความคิดต่อสิ่งที่เราทำหรือถามอย่างไร สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับผู้บริหารเพื่อประเมินสถานการณ์ว่าสิ่งที่เป็นอยู่หรือเกิดขึ้นอยู่ในตอนนี้ คนรอบข้างมีความรู้คิดอย่างไร เพราะในโลกนี้เราไม่สามารถทำอะไรคนเดียวได้ ต้องมีแรงสนับสนุนในการก้าวเดินต่อไปและสิ่งที่เป็นอุปสรรคจะต้องกำจัดทิ้งให้โดยเร็ว

     สำหรับผมนั้นโจโฉถือว่าเป็น CEO ที่เก่งที่สุดในยุคสามก๊กเลยก็ว่าได้ เนื่องจากเป็นคนที่เปิดโอกาสให้คนเก่งมาช่วยงาน และ เป็นคนที่มีความทะเยอะทะยานเป็นอย่างมาก

     วิธีการโยนหินถามทางของโจโฉนั้นจะมีอยู่ 2 เหตุการณ์ที่สำคัญ คือ การพาพระเจ้าเหี้ยนเต้ออกล่าสัตว์ และ การวิจารณ์วีรบุรุษ แต่วันนี้ผมจะนำเสนอเพียงแค่ การสนนทนาวีรบุรุษ ระหว่างโจโฉและเล่าปี่


โจโฉ(ซ้าย) และ เล่าปี่(ขวา) สนทนากันหลังจากศึกปราบลิโป้ ภาพจาก ซีรีย์สามก๊ก ปี 1994


     เนื่องจากโจโฉกำลังขยายอำนาจไปทั่วประเทศจีนในสมัยนั้นที่แตกเป็นฝ่ายเล็กๆมากมาย สิ่งที่โจโฉต้องทำอันดับแรกคือการกำจัดศัตรูที่จะเป็นภัยในอนาคต หรือการตัดไฟแต่ต้นลมนั้นเอง เพื่อตัดจะได้มีใจในการปราบคนอื่น ยิ่งไปกว่านั้นโจโฉเป็นคนที่รักษาวินัยและเคร่งครัดต่อเป้าหมายเป็นอย่างมาก จึงไม่แปลกที่จะระแวงภัยที่จะเกิดจากคนรอบตัว


     โจโฉรับเล่าปี่กลับเมืองฮูโต๋(เมืองหลวงที่โจโฉได้ทำการย้ายมา หลังสิ้นตั๋งโต๊ะ ลิฉุยและกุยกี) หลังจากสังหารลิโป้ได้สำเร็จ โจโฉมีความรู้สึกว่าเล่าปี่นั้นเป็นคนที่มีความคิดที่จะตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่แล้วตั้งแต่สมัยการรวมตัวของ 18 หัวเมืองในการปราบตั๋งโต๊ะ ถึงแม้ว่าจะเป็นคนพูดจาดีดูไม่มีพิษภัยแต่กลับมีเจตนาแฝงอยู่เสมอๆ สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่โจโฉไม่แน่ใจ จึงคิดแผนให้เล่าปี่มากินโต๊ะและร่วมสนทนากันสองต่อสอง

     เมื่อเล่าปี่มาถึงโจโฉ ได้เปิดประเด็นคือ ชวนเล่าปี่ดู ก้อนเมฆบนท้องฟ้า ซึ่งเป็นรูปมังกรบินอยู่บนท้องฟ้า โจโฉถามถึงความหมาย และได้พูดประมาณว่า มังกรจะมีพฤติกรรมตามโอกาส เมื่อถึงโอกาสของมันก็จะปรากฏและผงาดกลางฟ้า เมื่อไม่ใช่เวลาของมันก็ยามเร้นกายซ่อนอยู่ในคลื่น ซึ่งก็เหมือนคนที่ยิ่งใหญ่ ที่จะทำอะไรแล้วดูที่โอกาส โจโฉเปรียบมังกรคือวีรบุรุษ และได้ถามว่าใครคือวีรบุรุษในสมัยนั้น 

     เล่าปี่ได้เสนอชื่อ คนที่เป็นใหญ่ทุกคนในประเทศจีนสมัยนั้น แต่โจโฉกลับวิจาร์ณในด้านเสียๆหายๆทุกคน สุดท้ายเล่าปี่จะถามว่าโจโฉคิดว่าใคร โจโฉได้บอกว่า คนที่เป็นวีรบุรุษต้องคิดการใหญ่ มีแผนกลยุทธ์ มีสติปัญญาและปณิธานที่ยิ่งใหญ่ และได้บอกว่าวีรบุรุษคือ ท่าน(เล่าปี่) กับ ข้า (โจโฉ) 

     ได้เวลานั้นเองมีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นเล่าปี่ตกใจถึงกับขนาดทำตะเกียบตก และเล่าปี่ได้พูดว่า ฟ้าผ่าเสียงดังน่ากลัวทำให้ตกใจ โจโฉจึงถามว่าทำไมถึงกลัวฟ้าผ่า 

     สังเกตได้ว่าการที่โจโฉเห็นเล่าปี่ตกใจแค่ฟ้าร้องฟ้าผ่าเพียงแค่นี้ ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเล่าปี่เป็นคนจิตใจเล็ก ไม่มีทางคิดการใหญ่แน่นอน 

     แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น สิ่งที่ผมชื่นชมและยอมรับในตัวเล่าปี่คือการวางตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ แน่นอนหละ การที่เล่าปี่ยังอยู่ในปากเสือ การจะทำอะไรต้องระวังให้หมดทุกเรื่อง ทำให้เล่าปี่้ต้องทำตัวไร้เดียงสาในการสนทนาให้มากที่สุด จนถึงขั้นต้องแกล้งทำเป็นกลัวฟ้าผ่า ถ้าโจโฉรู้ความคิดที่แท้จริงของเล่าปี่แล้ว เล่าปี่คงไม่รอดในวันนั้นเป็นอย่างแน่นอน การใช้หลักโยนหินถามทางของโจโฉนับเป็นการสนนทนาที่่ค่อนข้างแนบเนียนมาก โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ค่อยจะระวังตัวเท่าไหร่ และเล่าปี่นั้นกลับอ่านเจตนาของโจโฉได้อย่างรวดเร็ว นี่คือสิ่งที่ผมชื่นชอบ เล่าปี่จึงเป็นมังกรอย่างแท้จริงในเหตุการณ์นี้ กล่าวคือ ประพฤติตนตามสถานการณ์ เล่าปี่ในตอนนั้นเป็นเหมือนนกอยู่ในรัง ปลาอยู่ในสระ



     การอยู่ในองค์กรหรือบริษัทขนาดใหญ่และมีการแข่งขันที่สูง เราจะต้องระวังตัวเป็นอย่างมากในการพูดหรือทำ เพราะมันเป็นการชิงดีชิงเด่นกัน เพื่อเป็นการยกระดับตัวเอง แม้ว่าจะต้องทำให้คนอื่นเสียหายเท่าใดก็ตาม ซึ่งผมก็รู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้เท่าไหร่ที่ก็ต้องมีการเหยียบคนอื่นเพื่อให้ตนไปได้สูงขึ้น เพื่อนร่วมงานที่มีตำแหน่งและความรับผิดชอบเดียวกับเรา แน่นอนเขาและตัวเราเองก็จะแข่งกันสร้างผลงานให้ตัวเองได้รับตำแหน่งและเงินเดือนที่สูงขึ้น บางทีเขาก็อาจนำเอาการโยนหินถามทางมาใช้กับเรา ซึ่งสิ่งที่เราต้องหาคำตอบคือ เขามาถามเราเพราะมีเหตุผลอะไร หรือในแข่งขันระหว่างบริษัท ซึ่งที่ชี้วัดความสำเร็จคือยอดขายและเปอร์เซนต์ของบริษัทตนในตลาด ก็อาจมีการนำการโยนหินถามทางมาใช้ก็ได้ ซึ่งเราก็ต้องระวังตัวเป็นอย่างมาก โดยบางทีก็ต้องกำชับพนักงานที่มีความรับผิดชอบในส่วนความลับของบริษัทไว้



     ถึงผู้อ่านทุกท่าน ในโลกแห่งความเป็นจริงแล้วทุกๆอย่างจะอยู่รูปของเกมการเดินหมากแต่ละขั้นเป็นสำคัญมากต่อสถานะของตัวเราเอง นั้นคือต้องระวังตัวและปรับตัวเข้าสถานการณืให้ได้อย่างรวดเร็ว อ่านเกมของคนอื่นให้ออกว่าเขาต้องการจะทำอะไร ทำไปเพื่ออะไร และได้อะไรจากการทำแบบนี้ นั่นคือหนึ่งในกรณีศึกษาที่หาได้จากวรรณกรรมเรื่องนี้


credit ภาพจาก thisamkok, schr.com

ไม่มีความคิดเห็น: