วันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2558

กรณีศึกษาในสามก๊ก เตียวสงกับแผนที่

      สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน ห่างหายไปไปนานกับการเขียนเรื่องใหม่ๆเข้ามาในบล๊อคเลยครับ เนื่องจากผู้เขียนเรียนหนักมากครับในช่วงนี้ วันนี้ผู้เขียนจะมานำเสนอในมุมมองที่แตกต่างระหว่างโจโฉและเล่าปี่กันครับ คนทั่วไปมักเชื่อว่าเล่าปี่เป็นคนดี และโจโฉเป็นคนไม่ดี แต่ความจริงแล้วมันอยู่ที่การแสดงภาพพจน์ของตัวเองในสาธารณะมากกว่า เราจะมาพูดถึงกรณีที่ เตียวสง ส่งมอบแผนที่เสฉวน กันครับ ถ้าใครๆก็ตามอ่านสามก๊กอยู่นั้น ก็จะรู้ว่าเสฉวนเป็นเขตที่มีสภาพแวดลอมที่เข้าถึงค่อนข้างยาก จีงเหมาะก็การป้องกันตัว ด้วยความที่ภูมิประเทศได้เปรียบในเชิงตั้งรับนี้เอง ทำให้แคว้นนี้เป็นยุทธศาสตร์ที่ขงเบ้งคิดให้เล่าปี่ครั้งที่ยังอยู่เขาโงลังกั๋ง 

เตียวสง ในซีรีย์สามก๊ก 1994


     เราจะมาพูดถึง timeline นี้กันก่อนนะครับเพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพว่าเหตุการณ์นี้ แท้จริงแล้วเกิดขึ้นเมื่อไหร่? เหตุการ์ณนี้อยู่ในตอนหลังศึกเซ็กเพ็กนานสมควรครับ โจโฉพึ่งได้ครองภาคเหนือทั้งหมด จากการไปยึดเสเหลียง มาจากตระกูลม้า ทำให้ครองพื้นที่ในประเทศส่วนใหญ่ ซ้ำยังมีความสุขกับชัยชนะที่มี ส่วนเล่าปี่เองก็ถึงเวลาที่จะขยายอำนาจตามยุทธศาสตร์ของขงเบ้งนั้นเอง

เล่าปี่ ในซีรี่ย์ 1994


    เหตุการณ์นี้เกิดจากการที่เล่าเจี้ยงผู้ปกครองเมืองเสฉวน ได้ข่าวมาว่า เตียวฬ่อที่อยู่ฮันต๋ง จะบุกเข้ามาตีเสฉวน ทำให้ต้องคิดวิธีเอาตัวรอด เพราะคิดว่าลำพังตัวคนเดียวคงรับมือไม่ไหว จึงให้เตียวสงทำหน้าที่เป็นเหมือนฑูต ไปเจริญสัมพันธ์กับคนที่สามารถช่วยได้ ซึ่งตอนแรกโจโฉนั้นก็เป็นเป้าหมายแรกที่จะไปขอความช่วยเหลือ แต่ก็พบกับความผิดหวัง เนื่องจากโจโฉไม่เห็นประโยชน์ และยังโกรธแค้นที่เตียวสงเอาแต่พูดจาไม่เข้าหูทำให้ต้องโดนไล่ออกมา ทำให้เตียวสงต้องเดินทางออกจากฮูโต๋ไปยังเมืองเกงจิ๋ว 

พื้นที่ในเสฉวน จ๊กก๊ก นั่นเอง ขอบคุณภาพจาก wikipedia 


    ฝ่ายเกงจิ๋ว หรือเล่าปี่ที่ครองเมืองในตอนนั้น ก็ออกมาต้อนรับเตียวสงอย่างดี จัดเลี้ยงทุกมื้อ โดยไม่มีการพูดถึงเมืองเสฉวนเลยแม้แต่นิดเดียวเป็นเวลาถึง 3 วัน ซึ่งทำให้เหมือนการเป็นลงทุนแบบไม่หวังผลกำไร แต่ในความเป็นจริงแล้วเล่าปี่นั้นอยากได้แผนที่อยู่เต็มที่ ถ้าได้แผนที่มา การยึดเมืองเสฉวนก็จะทำได้ไม่ยาก จริงๆแล้วเตียวสงก็จะเล่นตัวอยู่แล้วถ้าเล่าปี่พูดถึงแผนที่ออกมา ตอนเล่าปี่ไปส่งเตียวสงกลับก็ร่ำลา อย่างดิบดี ทำให้ทำตัวไม่ถูกสุดท้ายก็ยอมพูดซะเองว่าให้เข้ายึดเสฉวน ซึ่งตอนแรกเล่าปี่ก็ทำอ้างว่า เล่าเจี้ยงเป็นญาติจึงไม่ควรไปยึดเมืองของญาติตนเอง ซ้ำพื้นที่เสฉวนเป็นพื้นที่ๆ กันดารและเข้าถึงยาก สุดท้ายเตียวสงก็เลยมอบแผนที่ให้แบบง่ายๆ และยังแนะนำเบ้งตัดกับหวดเจ้งให้เป็นกำลังรบแก่เล่าปี่เสียอีกด้วย

     ถือว่าไม่ธรรมดาเลยสำหรับเล่าปี่คนนี้ เป็นคนที่มีความคิดที่ซับซ้อน การที่เล่าปี่เป็นแบบนี้ทำให้คนอ่านเห็นว่าเล่าปี่เป็นคนจิตใจดี ซึ่งผู้เขียนก็คิดว่าเล่าปี่กับโจโฉนั้นไม่มีความแตกต่างกันเลยเรื่องความคิด

     ถึงแม้ว่าเล่าปี่จะดูเหมือนคนจอมปลอม ในเรื่องการเมืองและการปกครอง แต่ถ้าเราวิเคราะห์ว่า เสฉวนนั้นเป็นเมืองที่เล่าปี่ต้องการใช้เพื่อตั้งตัว และทำให้เกิดสามก๊กขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นเสฉวนในเวลานั้นถือว่าอ่อนแอมากๆ และไม่สามารถพึ่งตัวเองได้ ทำให้เป็นการคิดอ่านที่ดีมากเลยครับในการทหาร 

     อย่างไรก็ตามถ้าเหตุการณ์ไม่เป็นเช่นนี้ คือ เล่าปี่พูดถึงแผนที่ ซะก่อนจะทำให้เตียวสงมองเล่าปี่ในทางที่ไม่ดี แต่จะทำให้หมดหวังในการเข้ายึดเสฉวนหรือภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีนอย่างแน่นอน ถือว่าเล่าปี่สามารถชนะใจเตียวสงได้ และมีความอดทนอย่างมากที่จะทำให้คนปากไม่ดีอย่างเตียวสงยอมใจอ่อนไปเอง

หากผู้อ่านชอบหรือต้องการพูดคุย ก็คอมเม้นตรงข้างล่างเลยครับ ฝากแชร์ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

กรณีศึกษาในสามก๊ก การเจรจาระหว่างเตียวเลี้ยวและกวนอู 2

        ลิซกสามารถซื้อลิโป้ด้วยสิ่งของ สามารถฆ่านายเก่าให้นายใหม่ได้ทั้งๆที่ไม่เคยพูดคุยกัน ซึ่งไม่เหมือนกวนอูผู้ถือคุณธรรมเป็นใหญ่เหนือสิ่งอื่นใด

สามก๊ก 1994 กวนอูและเตียวเลี้ยว


        หลังจากเตียวเลี้ยวได้กล่าวตำหนิกวนอู เตียวเลี้ยวยังเสนออีกปิดท้ายอีกว่าให้ อยู่กับโจโฉไปก่อนเมื่อได้ข่าวคราวของเล่าปี่เมื่อใดค่อยไป สรุปคือหลังจากที่เตียวเลี้ยวตำหนิให้เห็นโทษแล้วพร้อมเสนอคุณ 3 ข้อทันทีคือ

  1. สามารถรักษาฮูหยินทั้ง 2 ไว้
  2. ไม่ผิดต่อคำสาบานในสวนท้อ
  3. รักษาชีวิตเพื่อทำคุณประโยชน์ในภายหลัง
      เมื่อไม่มีทางเลือก กวนอูจึงเสนอสัญญา 3 ข้อให้เตียวเลี้ยวเพื่อให้โจโฉพิจารณาคือ

  1. การร่วมสาบานมีไว้เพื่อฟื้นฟูราชวงศ์ฮั่น เพราะฉะนั้นการไปครั้งนี้ไปเพื่อรับใช้พระเจ้าเหี้ยนเต้
  2. เบี้ยหวัดที่ได้พระราชทาน มอบให้ฮูหยินของเล่าปี่ทั้งสอง
  3. เมื่อรู้ข่าวคราวของเล่าปี่เมื่อใดก็พร้อมจะไปทุกเมื่อ

เตียวเลี้ยว

      และยังย้ำว่าถ้าไม่ยอมเงื่อนไขทั้ง 3 ก็จะขอสู้ตายที่นี่ หลังจากนั้นเตียวเลี้ยวก็นำความไปบอกโจโฉ แน่นอนว่าโจโฉไม่พอใจอยู่แล้ว แต่ด้วยความสามารถในการพูดของเตียวเลี้ยวโดยเสนอว่า เล่าปี่และกวนอูนั้น ไม่ได้เป็นพี่น้องโดยสายเลือด แต่เป็นพี่น้องร่วมสาบาน ซ้ำเล่าปี่ก็ยังเลี้ยงกวนอูไม่ถึงขนาดด้วย ถ้าโจโฉเลี้ยงกวนอูถึงขนาดก็ต้องซื้อใจกวนอูได้แน่นอน สุดท้ายโจโฉและกวนอูก็ยอมรับเงื่อนไขกันและกัน

      เหตุการณ์นี้สิ่งที่เราสามารถนำมาเป็นกรณีศึกษาได้คือทักษะการเจรจาต่อรองของเตียวเลี้ยวที่สามารถเข้าใจความคิดของทั้งกวนอูและโจโฉจึงสามารถยื่นข้อเสนอที่ทั้ง 2 ฝ่ายยอมรับได้

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

กรณีศึกษาในสามก๊ก การเจรจาระหว่างเตียวเลี้ยวและกวนอู


           ต้องบอกก่อนว่าสาเหตุที่ผมเขียนเคสนี้ขึ้นมาหวังเพื่อเป็นประโยชน์กับเด็กมัธยมที่เรียนสามก๊กตอนนี้อยู่ เคสนี้ที่ผมจะพูดถึงคือ ตอนกวนอูไปรับราชการกับโจโฉ เหตุการณ์ที่น่าสนใจในนี้คือการเจรจาระหว่างเตียวเลี้ยวและกวนอู ซึ่งต่างฝ่ายต่างมีเงื่อนไขแตกต่างออกไป


เตียวเลี้ยว
     เมื่อกวนอูโดนทัพของโจโฉล้อมไว้ที่เมืองแห้ฝือ โดยอยู่แยกกับเล่าปี่และเตียวหุยเนื่องจากอยู่รักษาคนละเมือง (คนอื่นก็แพ้เสียเมืองกันหมด)  ทำให้สถานะของกวนอูตอนนั้นไม่ต่างจากตายทั้งเป็นถ้าคิดจะสู้โจโฉต่อไป โจโฉเป็นคนฉลาดไม่อยากจะฆ่ากวนอูตายจึงอยากได้กวนอูมาเป็นพวก ทำให้ต้องเกิดการเจรจาขึ้น และเตียวเลี้ยวเองก็อาสาที่จะไปเจรจากับกวนอู


     ถามว่าทำไมต้องเตียวเลี้ยว? ประการแรกคือเตียวเลี้ยวมีบุญคุณกับกวนอู เมื่อตอนที่ลิโป้โดนประหาร แต่กวนอูขอให้โจโฉเว้นชีวิตเตียวเลี้ยว เพราะเป็นคนซื่อสัตย์และมีฝืมือ ด้วยเหตุการณ์นี้ทำให้กวนอูยอมเจรจากับเตียวเลี้ยว แต่วิธีที่เตียวเลี้ยวเริ่มใช้ในการต่อรองกับกวนอูนั้นน่าสนใจเป็นอย่างมาก



         แน่นอนว่าการพูดตรงๆให้กวนอูเพื่อแปรพักตร์นั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้กวนอูยอมมาร่วมด้วย ซ้ำอาจจะโดนด่าโดนว่าอีกและภารกิจจะไม่สำเร็จ วิธีที่เตียวเลี้ยวใช้คือการตำหนิตัวกวนอูเองว่าถ้ารบจนตายอะไรจะเกิดขึ้น คือ
  1. การที่กวนอูเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเล่าปี่และเตียวหุย
  2. เล่าปี่มอบครอบครัวให้รักษาคุ้มครอง
  3. กวนอูยังมีอะไรให้ทำเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติอีกมาก 

         ทำไมคำสาบานที่ส่วนท้อจึงเกี่ยวโยงได้? เนื่องจากการที่สามคนพูดว่า "แม้นไม่เกิด วันเดือนปี เดียวกัน แต่ขอตาย วันเดือนปี เดียวกัน" ทำให้เตียวเลี้ยวดึงประโยชน์จากข้อนี้มาใช้ในการโน้มน้าว เพราะถ้ากวนอูตายลงไป

         เมื่ออีกสองคนรู้เข้าก็อาจจะตายตามกวนอูก็เป็นได้ นั่นหมายความว่าสิ่งที่ทำมาก็จะหมดความหมาย การที่เล่าปี่ให้กวนอูคุ้มครองนั้น เช่นกันถ้ากวนอูตายลง กวนอูก็จะผิดต่อหน้าที่ ที่ไม่ดูแลครอบครัวของเล่าปี่ให้ดี

กวนอู
    
         สุดท้ายคือ กวนอูควรจะรักษาชีวิตเพื่อทำการใหญ่ต่อไป ไม่ใช่มาคิดจะตายในวันนี้ ซึ่งโอกาสยังมีอีกมาก ผมคิดว่าคนสมัยก่อนให้ความสำคัญต่อการมีชื่อในประวัติศาสตร์มาก

ผู้อ่านมีความคิดอย่างไรก็สามารถแสดงความคิดเห็นหรือคุยกันได้ครับ...

     

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

36 กลยุทธ์ของจีน ตอน ถอนฟืนใต้กระทะ

     ถอนฟืนใต้กระทะเป็น หนึ่งใน 36 กลยุทธ์ของจีน 三十六計 เป็นกลยุทธ์ติดพัน โดยจะเน้นการทำลายข้าศึกจากภายใน เพื่อหลีกเลี่ยงความสูญเสียหรือเปลี่ยนจากได้เปรียบเป็นเสียเปรียบ




     ถ้าเราถอดความ "ถอนฟืนใต้กระทะ" มันจะมีความหมายว่าการที่ไฟนั้นต้มน้ำในกระทะอยู่นั้น น้ำจะร้อน นั่นหมายความเราไม่สามารถหยิบหรือจับกระทะ และสัมผัสน้ำได้ เนื่องจากมีความร้อน ดังนั้นการถอนฟืนใต้กระทะ เป็นการลดชื้อเพลิงในการเผาไหม้ นั่นหมายความน้ำจะเย็นลง ทำให้เราสามารถยกออกได้ หลักในการนำเอาไปใช้ในสงครามหรือธุรกิจก็คงจะเป็นการ ตัดเสบียง และการลดขวัญกำลังใจ ทำให้เกิดการติดขัดในแผนการและขบวนการต่างๆในองค์กรหรือศัตรูฝ่ายตรงข้าม เพื่อชิงความได้เปรียบแก่ฝ่ายเราเอง ตัวอย่างในสามก๊กเช่น โจโฉเผาเสบียงที่อัวเจ๋า





   

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

กรณีศึกษาในสามก๊ก - อุบายนางงาม

นักวางแผนที่เก่งมักจะต้องอ่านสิ่งที่คนอื่นคิดให้ได้ เพื่อหากลยุทธที่จะมาตอบโต้คู่แข่ง ในสามก๊กนั้นมีตัวอย่างมากมายที่เป็นสงครามทางความคิดของกุนซือแต่ละก๊ก เช่น ขงเบ้งกับสุมาอี้ 2 กุนซือแห่งยุคสามก๊ก ถ้าใครได้อ่านหนังสือหรือดูซีรีย์ถึงช่วงที่สุมาอี้กลับเข้ามาเป็นแม่ทัพอย่างเต็มตัว ก็จะเห็นว่ามีการรบด้วยความคิดหลายๆสมรภูมิ ไม่ว่าจะเป็น กลยุทธทางทหารหรือการเมือง entry นี้เราจะมาพูดถึงการซ้อนแผนจิวยี่ของขงเบ้ง ที่หลอกให้เล่าปี่เข้าเมืองกังตั๋ง เพื่อแต่งงานกับน้องสาวซุนกวน



จิวยี่ ในสามก๊ก 1994
 จากศึกเซ็กเพ็ก ที่เป็นการรบระหว่าง ฝ่าย พันธมิตรเล่าซุน(เล่าปี่และซุนกวน) กับโจโฉ จิวยี่เองมีความคิดที่จะกำจัดขงเบ้งตั้งแต่แรกๆ คือให้ขงเบ้งหาเกาทัฑ์ 1 แสนดอก และก่อนที่ขงเบ้งจะกลับไปหาเล่าปี่ คือตอนที่ขงเบ้งเรียกลมอาคเนย์ แต่ขงเบ้งรู้ตัวและเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้วจึงไม่ถูกจิวยี่ฆ่าตาย หลังจากจบศึกเซ็กเพ็กก็กลายเป็นสงครามเย็นระหว่างเล่าปี่และซุนกวน ซึ่งเป็นการไม่เปิดเผยอย่างชัดเจนว่าพันธมิตรเริ่มแตกหัก หลังจากฝ่ายซุนกวนส่งโลซกมาทวงเมืองเกงจิ๋วแต่ไม่สำเร็จ จิวยี่เล็งเห็นว่าเมียของเล่าปี่ทั้งสองคน(กำฮูหยินและบิฮูหยิน) ได้ตาย ทำให้ไม่มีคู่ครอง จีงเสนอแผนให้ซุนกวนโดยการล่อเล่าปี่ให้เข้ามากังตั๋งเพื่อแต่งงานกับน้องสาวซุนกวน หลังจากนั้นก็จับเล่าปีเป็นตัวประกันเสีย 




ซุนกวน

หลังจากฝ่ายเล่าปี่ทราบความขงเบ้งก็รู้ทันทีนั่นเป็นแผนลวงเล่าปี่ไปฆ่า เล่าปี่ก็หวาดระแวงกลัว เพราะยังมีปมขัดแย้งที่ทางเล่าปี่ไม่คืนเมืองเกงจิ๋วให้ แต่ขงเบ้งคิดซ้อนแผนทันโดยมอบถุงผ้าแพรให้จูล่งโดยในถุงนั้นจะประกอบไปด้วย แผน 3 แผน เพื่อใช้ในสถานการณ์ที่แตกต่างออกไป 
  1. แผนแรกคือให้จัดขบวนเฉลิมฉลอง เพื่อเป็นการประกาศให้ชาวบ้านให้รับรู้รวมไปถึง เข้าพบเกียวก๊กโล และงอก๊กไท่ 2 ผู้มีอิทธิพลต่อเมืองกังตั๋ง 
  2. แผนสองคือเรียกเล่าปี่ให้กลับเกงจิ๋วเนื่องจากเล่าปี่อาจจะเสพสุขนานเกินควร 
  3. แผนสามคือถ้าทหารซุนกวนไล่ตามมาตอนจะกลับเกงจิ๋ว ก็ให้ ซุนฮูหยิน (ภรรยาเล่าปี่ที่มาแต่งด้วยที่กังตั๋ง) ใช้อำนาจ ไล่ทหารเหล่านั้นกลับไป 

ซุนฮูหยิน หรือ Lady Sun
           สามแผนนี้ก็เป็นไปตามคาดหมายจริงๆ เห็นได้ว่าขงเบ้งในคราวนี้มองสถานการณ์ออก สามารถนำข้อได้เปรียบและเสียเปรียบที่ตนมีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อฝ่ายตนมากที่สุด การที่เล่าปี่แต่งกับน้องสาวซุนกวนคือประโยชน์อย่างแรก คือได้เกี่ยวดองกันทำให้พันธมิตรยังอยู่ต่อไปได้ อย่างที่สองคือสามารถรักษาเมืองเกงจิ๋วต่อไปได้

สามก๊กมีหลายเคสที่เป็นอุบายนางงามครับ อย่างอุบายที่ประสบความสำเร็จสุดๆคือ เตียวเสี้ยน นั่นเอง

           ผู้อ่านมีความคิดเห็นอย่างไรสามารถแสดงความคิดเห็นได้ในเพจของเราได้เลยครับ

วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ปล้นเสบียงที่อัวเจ๋า พลิกหน้ามือเป็นหลังมือ

     สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่านหลังจากไม่ได้เขียนบล๊อคมานานรวมไปถึงไม่ค่อยได้อ่านสามก๊กเท่าเมื่อก่อนทำให้หลงๆลืมๆไปบ้าง ช่วงนี้เลยจะเขียนเกี่ยวกับสามก๊กในเหตุการณ์แรกๆไปก่อน เรื่องหลังๆในสามก๊กจะมาเขียนเร็วๆนี้ครับ
โจโฉ ภาพจาก cnminerva.wordpress.com


     เมื่อพูดถึงโจโฉแล้วใครๆก็รู้ว่าเป็นตัวละครเอกของเรื่อง ถามว่าคนๆนี้ตั้งตัวจริงๆได้เมื่อไหร่? โจโฉผ่านศึกมากมายกว่าจะได้ครองภาคเหนือของประเทศจีน ซึ่งศึกที่มีความสำคัญต่ออำนาจของโจโฉจริงๆในความคิดของผมน่าจะเป็นศึกกัวต๋อ ระหว่างโจโฉและอ้วนเสี้ยว เป็นหนึ่งในศึกที่ยิ่งใหญ่ในสามก๊ก และศึกแห่งประวัติศาสตร์ของประเทศจีน ทำให้โจโฉได้ขยายอาณาเขตและอำนาจ โดยเป็นการเอาน้อยชนะมาก ครั้งนั้นโจโฉมีกำลังพลเพียงแค่ 7 หมื่นคน ในขณะที่อ้วนเสี้ยวมีถึง 70 หมื่น หรือ 7 แสนคน


อ้วนเสี้ยว ภาพ oattochemicalz.wordpress.com
      ซึ่งในศึกกัวต๋อตัวแปรสำคัญที่ทำให้โจโฉได้เปรียบอ้วนเสี้ยวคือการตัดเสบียงทหารอ้วนเสี้ยวทั้งหมด ก่อนหน้านั้นโจโฉเป็นฝ่ายที่จะแพ้แน่ๆอยู่แล้วเนื่องจากเสบียงหมดและกำลังทหารที่ลดลง แต่เหตุการณ์กลับเป็นใจให้โจโฉเนื่องจากเกิดความขัดแย้งในฝ่ายอ้วนเสี้ยวผู้ที่เป็นผู้นำที่อ่อนแอเอง เขาฮิว ก็แปรพักตร์เข้าร่วมกับโจโฉ ทำให้โจโฉได้รู้ถึงจุดอ่อนของทัพอ้วนเสี้ยว

เขาฮิว ผู้มีอิทธิพลต่อศึกกัวต๋อ



      มาดูดีกว่าว่าแผนของโจโฉเป็นอย่างไร เริ่มจากวางกำลังในค่ายอย่างแน่นหนาเพื่อป้องกันการปล้นค่ายตอนกลางคืน หลังจากนั้นนำทหาร 5000 คน ปลอมตัวเป็นทหารอ้วนเสี้ยวโดยถือธงอ้วนเสี้ยว (แน่นอนว่าสมัยก่อนการปลอมแปลงอะไรต่างๆถือว่าง่ายมาก) เพื่อบุกตำบลอัวเจ๋าตอนกลางคืน ซ้ำอ้วนเสี้ยวให้อิเขงนายทหารที่ขี้เมาดูแลค่าย แน่นอนว่าเขาก็ละเลยในการปฏิบัติหน้าที่ทำให้โจโฉเผาเสบียงทัพได้สำเร็จในที่สุด ซึ่งถ้าใครได้ดูซีรีย์หรืออ่านในหนังสือก็เห็นว่าการตีอัวเจ๋านั้นสามารถนำเอามาศึกษาได้หลายๆข้อ

ใครอยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติมแนะนำให้ดูวีดีโอนี้ครับ


  • ข้อแรกคือการที่โจโฉรอการเปลี่ยนแปลงของทัพอ้วนเสี้ยว ข้อนี้จะสำเร็จได้ถ้าแม่ทัพมีความใจเย็นพอ ซึ่งในตอนแรกโจโฉก็จะถอยอยู่แล้ว แต่ที่ปรึกษาได้ตั้งคำถามไว้ว่าอ้วนเสี้ยวนั้นทัพใหญ่กว่า 10 เท่าแต่ทำไมไม่สามารถเอาชนะได้เลย และแนะนำให้รอการเปลี่ยนแปลงในกองทัพของอ้วนเสี้ยว 
  • ข้อที่สองนั้นคือในการปะทะกันสามารถเกิดได้เสมอแต่ว่าโจโฉนั้นเลือกที่จะเลือกพื้นที่ในการปะทะแล้วเกิดผลดีต่อตนเองในสงครามนับเป็น case ที่น่าสนใจ
  • ข้อที่สามคือการเผาเสบียงและปล้นเสบียงทำให้กองทัพเกิดความเสียหายเป็นอย่างมาก เพราะคนก็ต้องกินอาหาร การที่ไม่มีเสบียงทำให้กองทัพไม่แรงจะสู้ต่อไป รวมไปถึงการก่อจราจลได้ในกองทัพ ซึ่งกองทัพยิ่งใหญ่เท่าใดก็จะควบคุมได้ยากเท่านั้น
ใครอยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติมแนะนำให้ดูวีดีโอนี้ครับ 


วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

กรณีศึกษาจากสามก๊ก ตอน "ความฉลาดของเตียวหุย" ตอนที่ 2

     ต้องขอเกริ่นก่อนว่าเตียวหุย(張飛)เป็นหนึ่งในตัวละครที่ผมชอบมากคนหนึ่งในสามก๊ก ซึ่งเป็นคนที่ดูหยาบคายแต่จิตใจดี ซึ่งคนแบบเตียวหุยจะเห็นได้ว่าเป็นคนที่เต็มที่กับหลายๆสิ่ง และเหตุการณ์ที่ปากุ๋นเป็นเหตุการณ์ที่ผมกลับมาอ่านหรือนึกถึงก็ยังคงมีความน่าใจเสมอมา

     ซุนวูกล่าวไว้ว่ากลยุทธที่ดีในการรบคือกลยุทธที่เสียไพร่พลน้อยที่สุด (ดีที่สุดคือรบด้วยอุบาย)  ซึ่งแน่นอนหลังจากเล่าปี่ต้องการขยายอำนาจโดยรุกเข้าเสฉวน เตียวหุยเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เข้ายึดเสฉวนได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น ซ้ำเตียวหุยยังแสดงอัจริยภาพในการรบตามหลักของซุนวูได้อย่างดีเยี่ยมกล่าวคือ ""การบัญชาทัพชั้นเอกคือชนะด้วยอุบาย รองลงมาคือชนะด้วยการทูต รองลงมาอีกคือชนะด้วยการรบ" อ้างอิงจากคำแปลของอาจารย์บุญศักดิ์ แสงระวี ในบล๊อคนี้เราจะมาพูดถึงความสุขุมของเตียวหุยหลักจากจับตัวเงียมหงันได้แล้ว
ขอบคุณภาพจาก online station

     หลังจากจับตัวเงียมหงัน(严颜)แห่งปากุ๋นได้แล้ว เงียมหงันก็ด่าทอเตียวหุยมากมายเรียกว่าไม่กลัวตายเลยทีเดียว ซ้ำยังรีบเรียกให้ประหารทิ้ง แต่เหตุการณ์นี้แปลกที่เตียวกลับไม่มีอารมณ์โกรธออกมา สามารถควบคุมตัวเองได้อย่างดี ซ้ำกลับแสดงความจริงใจโดยการพูดสรรเสริญและขอร้องให้เงียมหงันเข้าร่วมกับเล่าปี่ ซึ่งเหตุการณ์หลังจากเงียมหงันเข้าร่วมกับเล่าปี่แล้วทำให้ ทัพบกของเตียวหุยโดยให้เงียมหงันเป็นทัพหน้า สามารถผ่านด่านเมืองได้ถึง 45 เมือง ถึงลกเสียโดยไม่เสียไพร่พลแม้แต่คนเดียว ซ้ำยังถึงลกเสียก่อนขงเบ้งและจูล่งซะอีก ซึ่งถ้าเตียวหุยฆ่าเงียมหงันตั้งแต่ปากุ๋น การยกทัพจะไม่ง่ายแบบนี้ ซ้ำยังก่อให้เกิดความโกรธแค้นต่อผู้คนอีกจำนวนมาก

     ว่าไปแล้ว เตียวหุยก็มีการพัฒนาในการใช้อุบายเหมือนกัน ถ้าจำได้ในบล๊อคก่อนๆผมได้เขียนเกี่ยวกับเตียวหุยในเหตุการณ์สะพานเตียงปันเกี้ยว ในสมัยที่เล่าปี่ต้องไปพึ่งเล่าเปียว(刘表) และซุนกวน(孙权)
เหตุการณ์นั้นเป็นเหตุการณ์ที่ทัพเล่าปี่โดยไล่ตามมา พอทัพโจโฉที่ไล่ตามมาพบกับเตียวหุยที่สะพานเตียงปันเกี้ยว ซึ่งในขณะนั้นเตียวหุยก็ทำให้บริเวณนั้นเต็มไปด้วยฝุ่นเพื่อหลอกให้โจโฉคิดว่ามีทหารซ่อนโจมตีอยู่ แต่แผนก็แตกเมื่อเตียวหุยสั่งทำลายสะพาน แต่ก็รอดมาได้อย่างหวุดหวิด


วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2558

กรณีศึกษาจากสามก๊ก ตอน "ความฉลาดของเตียวหุย"

     สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน บล๊อคนี้เราจะมานำเสนอความฉลาดของเตียวหุยกัน เมื่อพูดถึงตัวละครที่ชื่อว่าเตียวหุยในสามก๊กแล้ว คนที่พอมีความรู้สามก๊กบ้างก็จะรู้ว่าเป็นพี่น้องร่วมสาบานของหนึ่งในตัวละครหลักที่คนไทยรู้จักเป็นอย่างดี นั่นก็จะคือเล่าปี่นี่เอง ถามว่าเล่าปี่และเตียวหุยเจอกันได้อย่างไร ก้ต้องท้าวความไปในตอนแรกของสามก๊กเลย หรือถ้าใครดูซีรีย์ปี1994ก็คือในตอนแรก ก็จะเห็นว่าเล่าปี่และเตียวหุยเจอกันได้เนื่องจากต้องการช่วยเหลือบ้านเมืองในเวลาที่โจรผ้าเหลืองก่อกบฏ ซึ่งในหนังสือกับซีรีย์มีเนื้อเรื่องไม่เหมือนกันตรงที่ในหนังสือเล่าปี่และเตียวหุยคุยกันก่อนที่ร้านเหล้าแล้วกวนอูค่อยออกมา ส่วนในซีรีย์เล่าปี่คุยกับเตียวหุยจริงๆก็คือตอนที่ชกต่อยกับกวนอูนั่นเอง อย่างไรก็ตามคนที่อ่านสามก๊กก็จะรู้ว่าเตียวหุยนั้นเป็นคนทำอะไรไม่ค่อยคิด เสียงดัง ดุดัน แต่จริงๆแล้วเป็นคนดีมากๆคนหนึ่งเลยในสามก๊ก ถึงจะดูทำอะไรไม่ค่อยคิดแต่เขาก็แสดงให้เห็นว่าตัวเขาเองก็มีปัญญาไม่ต่างจากใครๆ วันนี้เราจะมายกตัวอย่างในเหตุการณ์ที่เตียวหุยจะเข้าตีเมืองปากุ๋นกัน

เตียวหุย


     เมืองปากุ๋นเป็นเมืองที่อยู่ทางทิศตะวันตกของประเทศจีน เหตุการณ์นี้จะอยู่ในช่วงที่เล่าปี่ต้องการขยายอำนาจหลังจากศึกใหญ่อย่างเซ็กเพ็ก ซึ่งขงเบ้งก็แนะนำให้เล่าปี่เข้ายึดเสฉวนเป็นฐานที่มั่นเนื่องจากภูมิประเทศที่เข้าถึงยาก จึงเหมาะเป็นฐานไว้สำหรับตั้งตัว ในขณะนั้นเองจูล่งและเตียวหุยก็ต่างแข่งกันสร้างผลงานให้เป็นที่ยอมรับ ขงเบ้งก็ได้ให้จูล่งบุกเสฉวนทางน้ำ ส่วนเตียวหุยบุกทางบก ใครถึงเมืองลกเสียที่เป็นเมืองหน้าด่านของเสฉวนก่อนจะมีความดีความชอบ

เงียมหงัน ขอขอบคุณ thaisamkok


     เมื่อเตียวหุยได้เดินทางเมืองปากุ๋นแล้วก็เจอขุนพลสูงวัยชื่อเงียมหงัน ปัญหาที่เตียวหุยเจอคือเงียมหงันใช้กลยุทธตั้งรับอย่างเดียวไม่ว่าเตียวหุยจะทำอย่างไรก็ไม่ออกรับเพียงแต่ใช้เกาทัณฑ์ยิงเพื่อป้องกันเท่านั้นเอง ซึ่งทำให้เตียวหุยต้องไปศึกษาภูมิประเทศด้วยตนเอง ซึ่งก็พบว่ายากที่เข้าตีอย่างมาก ทำให้ไม่สามารถเข้าโจมตีแบบปรกติได้ ทำให้คราวนี้เตียวหุยต้องออกอุบายในการยึดเมืองปากุ๋น ซึ่งอุบายแรกก็คือ ใช้อุบายโดยให้ทหารทั้งหมดลงนั่งนอนกับพื้นเพื่อทำให้ฝ่ายเงียมหงันเห็นว่ากองทัพเตียวหุยไม่หึกเหิมในการรบต่อไป แต่เงียมหงันกลับอ่านสถานการณ์ออกโดยประสบการณ์ทำให้ไม่ตกหลุมพราง อุบายต่อมาก็ให้ทหารไปด่าทอหน้าด่านเมืองปากุ๋นแต่ก็ยังคงไม่สำเร็จเนื่องจากเงียมหงันก็ยังคงรู้ทันเตียวหุยอยู่ดี ต่อมาอุบายที่สามก็ให้ทหารไปตัดฟืนตอนกลางคืน ซ้ำเตียวหุยก็รู้ว่ามาสายลับปะปนเข้าไป จึงออกคำสั่งให้สายลับคนนั้นไปแจ้งต่อเงียมหงันเพื่อล่อให้ออกมา ฝ่ายเงียมหงันคิดว่าคราวนี้คงจะจับตัวเตียวหุยได้สำเร็จแต่ไม่รู้ว่าเตียวหุยนั้นได้ซ้อนแผนไว้ โดยเมื่อเงียมหงันเห็นเตียวหุยตัวปลอมนำทัพออกมาทางช่องแคบก็บุกโจมตี โดยไม่ทันตั้งตัวว่าเตียวหุยตัวจริงมาจากด้านหลังและสามารถจับตัวงเงียมหงันได้สำเร็จ

     เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เราได้เห็นความฉลาดของเตียวหุยในการล่อเงียมหงันออกจากเมืองได้ นับเป็นหนึ่งในกลยุทธทางการรบที่มีความพิเศษอันหนึ่งในสามก๊กก็ว่าได้ ในโลกของความจริงบางครั้งเราก็ต้องหลอกล่อคู่แข่งเรา เพื่อเป็นการเปิดช่องให้ตัวเอง อาจจะดูเป็นคนขี้โกงแต่ในโลกของความเป็นจริงก็มีให้เราเห็นอยู่เสมอ

   ครั้งหน้าเราจะมาเล่าเหตุการณ์ต่อจากนี้รวมไปถึงการใช้สติปัญญาของเตียวหุยในตอนต่อๆไป

  นี่คือสามก๊กซีรีย์ปี1994ครับ ในตอนที่เตียวหุยรบกับเงียมหงัน


วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2558

สามก๊ก - อย่าไล่หมาจนตรอก (เล่าปี่และจูฮี)

     ห่างหายไปนานเลยครับกับการเขียนบล๊อค บล๊อคนี้จะมานำเสนอกรณีศึกษาของสามก๊กอีกตอนหนึ่งครับ เรื่องเกี่ยวกับการไล่ศัตรูให้จนตรอก ขออ้างอิงคำพูดจากหนังสือ กลศึกสามก๊ก ของอาจารย์บุญศักดิ์แสงระวีแล้วกันครับ "จนตรอกอย่าเค้น" "ล้อมพึงเปิดช่อง" เป็นกลยุทธในสมัยโบราณที่กล่าวโดย เวลาปิดล้อมศัตรู อย่าปิดจนไม่มีทางออก ให้ศัตรูคิดว่ายังสามารถรอดตายได้ ซึ่งในหลักจิตวิทยาแล้ว กลยุทธนี้จะทำให้ศัตรูไม่คิดสู้ต่อ และต้องการที่จะหลบหนี ซึ่งถ้าศัตรูต้องการจะหลบหนีก็หมายความว่าเราก็สามารถจัดการศัตรูที่จะไม่มีใจจะสู้ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเหตุการณ์นี้ในสามก๊ก อยู่ในยุคแรกของสามก๊ก สมัยโจรผ้าเหลืองก่อกบฎ
ขอบคุณรูปจาก http://meeksam.blogspot.com/


     ในช่วงก่อกบฏของโจรผ้าเหลือง โจรผ้าเหลืองได้ยึดเมืองอ้วนเซียเอาไว้ เล่าปี่ได้ติดตามจูฮี(เป็นแม่ทัพแห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตก เป็น 1 ใน 3 แม่ทัพใหญ่ซึ่งมีหน้าที่ในการปราบปรามโจรโพกผ้าเหลือง อ้างอิงจาก https://th.wikipedia.org/wiki/จูฮี)เพื่อไปปราบกบฎเมืองนี้ ซึ่งจูฮีก็สั่งให้เล่าปี่ กวนอู เตียวหุยโจมตีทางด้านทิศตะวันตกและใต้ของเมือง และจูฮีโจมตีทางทิศเหนือและตกวันออกของเมือง ซึ่งในที่สุดก็สามารถล้อมเมืองอ้วนเซียได้ทั้งหมด 4 ทิศ ในที่สุดฮั่นต๋งก็ส่งคนออกมาสวามิภักดิ์ แต่จูฮี ไม่รับ ด้วยเหตุผลที่ว่าโจรยังไงก็ยังเป็นโจรวันยังค่ำ เนื่องจากจูฮีไม่รับโจรเหล่านั้น เล่าปี่ก็เสนอว่า เพราะฉะนั้นเราไม่ควรล้อมเมือง 4 ทิศ เราควรเปิด 2 ด้านไว้ให้โจรหลบหนี เนื่องจากการล้อม 4 ด้านจะทำให้โจรนับหมื่นคน รวมเป็นหนึ่งเดียว จะสู้โดยไม่คิดชีวิตเหมือนหมาจนตรอก นั้นจะทำให้ภารกิจนั้นล้มเหลวไปอีก ซึ่งการเปิดทิศตะวันออกและใต้ แล้วไปมุ่งโจมตีทางทิศเหนือและตะวันตกแทน จะทำให้สามารถจับกุมโจรเหล่านี้ได้ง่ายขึ้นเป็นอย่างมาก เนื่องจากโจรจะหนีไปโดยไม่มีใจจะสู้ ซึ่งในที่สุดก็ทำให้โจรหนีไปและล้มตายเป็นจำนวนมาก
เล่าปี่

    เหตุการณ์นี้ทำให้เราได้เห็นความสามารถทางการทหารของเล่าปี่ได้อย่างชัดเจนว่าเข้าใจในหลักการและยังสามารถนำมาปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนจูฮีก็แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปกครองได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าในอดีตฮั่นโกโจจะใช้วิธีสวามิภักดิ์ แต่จูฮีเข้าใจในเหตุการณ์ว่ามันต่างกับสมัยก่อนราชวงศ์ฮั่น เนื่องจากสมัยฮั่นโกโจนั้นแผ่นดินทั้งหมดต่างไม่ขึ้นกับเมื่องใดๆเลย แต่ในสมัยปลายราชวงศ์ฮั่นนั้นเป็นการก่อกบฎซึ่งเป็นคนกลุ่มน้อย ถ้ายอมให้สวามิภักดิ์คนเหล่านี้ก็จะนำปัญหาให้กับระบบการปกครองในอนาคต

     บล๊อคหน้าเราจะมาพูดถึงกรณีหมาจนตรอกอีกเหตุการณ์หนึ่งซึ่งห่างจากเหตุการณ์โจรผ้าเหลืองไม่นาน...

วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

เริ่มแล้วครับกับ Thailand Blog Award 2013

ทางบล๊อคได้ส่งเข้าประกวดในสาขาธุรกิจครับผม
ช่วยโหวตให้ด้วยนะครับ
http://www.thailandblogawards.com/entry/view/335