เมื่อใดที่ก็ตามที่คนๆหนึ่งจะลงมือทำอะไร แน่นอนว่ามันต้องมีแรงบรรดาลใจหรือมีแรงจูงใจมากพอที่จะคนๆนั้นคิดจะลงมือทำด้วยเหตุผลที่ว่ามันคุ้มค่าหรือไม่ที่จะทำ แน่นอนว่ากำลังใจสามารถทำให้คนเราทำในสิ่งที่ไม่เคยทำหรือลุกขึ้นมาสู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าใหม่หรือไม่ก็สามารถเปลี่ยนสถานการณ์จากร้ายกลายเป็นดีได้ ในการทำศึกสมัยก่อนทหารก็จะต้องมีขวัญกำลังใจในการรบ เพราะไม่งั้นจะไม่สามารถแสดงความสามารถให้เต็มที่ ยกตัวอย่างกับการแข่งขันกีฬาถ้าคนๆหนึ่งมีกำลังใจจากข้างสนาม ซึ่งอาจจะเป็นใครก็ได้ คนๆนั้นก็ถูกกระตุ้นเอาความสามารถที่หลับใหลอยู่ออกมาได้ ซึ่งทุกๆคนจะรู้สึกได้ระหว่างมีกำลังใจและไม่มีในเวลาแข่งขันในที่ใดๆก็ตาม ถ้าพูดถึงการบริหารคนหมู่มากแน่นอนว่าจะต้องมีผู้นำมาแสดงวิสัยทัศน์และโน้มน้าวให้คนฟังมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปในทางที่เราต้องการ ซึ่งแต่ละสถานการณ์ก็จะมีวิธีที่แตกต่างออกไปเพื่อความเหมาะสม และไม่จำเป็นต้องพูดจาดีหรือทำดีกับคนที่เราต้องการโน้มน้าวเสมอไป
การทุบหม้อข้าวในสมัยก่อนก็เป็นตัวอย่างของการสร้างขวัญกำลังใจแก่ทหาร วิธีนี้ทำให้เหล่าทหารจะมีทางเลือกอยู่2ทางคือ 1.อดข้าวตายหรือรอวันตายนั่นเอง 2.คือสู้กับข้าศึก ซึ่งผลลัพธ์ของ 2 ทางเลือกนี้อาจจะเป็นความตายก็ได้ แต่ทำไมคนถึงเลือกที่จะใช้วิธีที่ 2? แน่นอนว่าไม่มีใครอยากตาย ทุกคนรักชีวิตตน เลยไม่มีทางเลือก นั่นหมายความว่าพวกเขาจะไม่เลือกวิธีที่ 1 แน่นอน สถานการณ์นี้ก็คล้ายกับหมาจนตรอก สู้ก็มีโอกาสรอด ไม่สู้ก็มีเพียงแต่ความตายเท่านั้นที่รออยู่...
![]() |
กำเหล็งจากซีรีย์สามก๊ก 1994 |
บทความนี้จะพูดถึงว่าเพียงแค่ผู้นำแข็งแกร่งลูกน้องก็จะแข็งแกร่งเช่นกัน วิธีนี้ถือว่าเป็นวิธีที่เป็นการสร้างกำลังใจแบบอัตโนมัติโดยไม่ต้องเสียเวลาในการพูดแต่อย่างใด เหตุการณ์ที่จะกล่าวถึงนี้เกิดขึ้นในยุทธการหับป๋าเป็นยุทธการที่ต่อสู้เพื่อแย่งชิงเมืองหับป๋าระหว่างซุนกวนและโจโฉ โดยเกิดหลังศึกเซ็กเพ็ก ที่เป็นศึกใหญ่ระหว่างซุนกวนและโจโฉ เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ท้ายๆของศึกหับป๋าแล้วกล่าวคือ กำเหล็งต้องการสร้างผลงานโดยเสนอต่อซุนกวนว่าจะขออาสาไปปล้นค่ายโจโฉตอนกลางคืนโดยที่จะไม่เสียทหารแม้แต่นายเดียว ซึ่งถ้าเสียไปเพียงคนเดียวก็จะไม่ถือเป็นความชอบ ซึ่งกำเหลงต้องการแสดงให้เห็นว่าตัวเองเก่งกาจแค่ไหน เพราะในช่วงนั้น กำเหลงและเล่งทองแม่ทัพของซุนกวนอีกคนหนึ่ง แย่งกันทำผลงานกัน ซึ่งซุนกวนเห็นว่ากำเหล็งห้าวหาญจึงให้ทหารม้าชั้นดีไป100คน แม้จะมีคนคัดค้านแต่กำเหล็งก็แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจทำให้ขุนพลต่างๆเชื่อใจกำเหล็ง อยู่ๆมีทหาร101คนไปปล้นค่ายโจโฉที่มีกำลังกว่า4แสนคนก็ดูเป็นอะไรที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีการสูญเสีย แม้เราวิเคราะห์กันง่ายๆ 100 ต่อ 400000 คน ก็มีอัตราส่วน 1:4000 นั่นหมายความว่า ทุกๆ 1คนที่เป็นทหารม้าจะต้องรอดตายจากการทหารโจโฉ 4000 คน และแล้วกำเหล็งก็ทำได้ตามที่พูดไว้ และสร้างความเสียหายและความวุ่นวายให้แก่ค่ายทหารของโจโฉเป็นอย่างมาก
"ใต้แม่ทัพแข็งไม่มีทหารอ่อนแอ" กล่าวคือ การนำทหารของกำเหล็ง กำเหล็งได้แสดงความเป็นผู้นำและมีความมั่นใจ ทำให้ทหารที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของกำเหล็งพร้อมที่จะสู้ตายไปด้วย ตำราพิชัยสงครามเว่ยเหลียวจื่อ ได้กล่าวไว้ว่า "ผู้บัญชาทัพ จักต้องเป็นตัวอย่างเพื่อปลุกเร้าทหาร ดั่งใจสั่งมือเท้าทั้งสี่ หากขวัญทหารไม่ดี ทหารก็จะไม่สู้ตาย ทหารไม่สู้ตาย ก็จะไม่มีใครรบ" (ข้อมูลอ้างอิงจาก กลศึกสามก๊ก - บุญศักดิ์ แสงระวี) กำเหล็งได้ชักดาบออกมาและตวาดเสียงดังก่อนปล้นค่ายเพื่อแสดงให้เห็นถึงการรบที่ไม่คิดชีวิตหรือไม่เห็นว่าชีวิตสำคัญ ก็จะทำให้ทหารสู้ไปกับกำเหล็ง
แต่การนำไข่ไปต่อยหินแบบนี้ก็หาโอกาสใช้ได้น้อยนัก การเอาคนน้อยไปสู้กับคนมากการกำเหล็ง ไม่ใช่เพียงมีความกล้าหาญเท่านั้น กลยุทธของกำเหล็งในการปล้นค่ายครั้งนี้คือความรวดเร็วในการสร้างความเสียหายจากการจู่โจมครั้งนี้ ความรวดเร็วได้จากม้า และคนขี่ม้าที่มีความสามารถ ทำให้แผนการครั้งนี้สำเร็จไปด้วยดีนั่นเอง
1 ความคิดเห็น:
อดีตโจรอย่างกำเหลง มีดีตรงความกล้า จิตวิทยาและความเป็นผู้นำ นอกจากนี้เขาก็เป็นตัวอย่างให้เราในหลาย ๆ เรื่องเลยครับ ทั้งการเลือกนาย การซื้อใจคน รวมทั้งการผูกมิตร(ในกรณีเล่งทอง)
แสดงความคิดเห็น