แน่นอนว่าความจริงใจเพียงใช้ปากพูดอย่างเดียวคงไม่พอ ต้องอาศัยการกระทำด้วย ซึ่งการกระทำนั้นสำคัญอย่างมากเลยในการทำให้คนอื่นไว้ใจและมีความจงรักภักดีต่อเรา
![]() |
จูล่ง ขณะตีฝ่าวงล้อมกองทัพโจโฉ |
ต้องเล่าเรื่องก่อนว่าอะไรคือศึกสะพานเตียงปันเกี้ยว เหตุการณ์เกิดขึ้นหลังจากเล่าปี่ได้ขงเบ้งมาช่วยราชการและได้สร้างผลงานไปแล้ว 2 ครั้ง คือ 1.เผาทุกพกบ๋อง 2.เผาเมืองซินเอี๋ย สร้างความเสียหายให้กับกองทัพโจโฉที่จะบุกยึดภาคใต้ของประเทศจีนเป็นอย่างมาก เดิมนั้นซินเอี๋ยเป็นเมืองเล็กเสบียงน้อยมาก จึงไม่เหมาะสมที่จะสู้กับทัพโจโฉที่ยกมากว่า 5 แสนคน จึงตั้งใจจะไปอยู่เมืองกังแฮที่มีเล่ากี๋คนที่เล่าปี่รู้จักอยู่ แต่การย้ายถื่นฐานของเล่าปี่นั้นลำบากมาก ด้วยทหารเพียงไม่กี่พันคนและประชาชนหลายพันครัวเรือนที่ต้องเดินทางร่วมกับเล่าปี่ ทั้งๆที่มีกองทัพของโจโฉคอยติดตาม ศึกสะพานเตียงปั้นเกี้ยวนั้นเป็นเป็นศึกที่เกิดขึ้นในขณะการอพยพของเล่าปี่ แน่นอนว่าหนีไม่ทัน ถูกโจมตีทำให้กองทัพกระจัดกระจายตามหากันไม่เจอ ซ้ำครอบครัวของเล่าปี่ก็หลงไปกับการสู้รบกันครั้งนี้ จูล่งตอนนั้นมีหน้าที่คอยดูแลครอบครัวของเล่าปี่ เมื่อตามหาครอบครัวของเล่าปี่ที่ประกอบไปด้วย ภรรยา 2 คน คือกำฮูหยินและบิฮูหยิน และลูกอีก1คน ด้วยความที่จูล่งเป็นทหารที่มีความรับผิดชอบสูงนั้นเอง จึงได้ฝ่าเข้าไปในกองทัพของโจโฉถึง7ครั้ง ตั้งแต่เวลาตี3ถึงบ่ายสามโมง ซึ่งใช้เวลาครึ่งวันเลยทีเดียว ซ้ำยังต้องหนีการจับกุมของทหารโจโฉซึ่งโจโฉสั่งจับเป็น ถ้าจับตายก็คงไม่รอดตั้งแต่แรก ในที่สุดเขาก็ฝ่าออกมาได้ ทหารนับร้อยคนถูกจูล่งฆ่าระหว่างเข้าไปช่วยครอบครัวเล่าปี่ ซึ่งที่รอดก็คือ ลูกของเล่าปี่ และกำฮูหยิน ส่วนบิฮูหยินโดดบ่อน้ำตายเนื่องจากกลัวเป็นภาระของจูล่งในการฝ่ากองทัพโจโฉออกไป เมื่อกลับมาจูล่งก็เล่าความจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เล่าปี่ฟังและอุ้มลูกของเล่าปี่ให้แก่เล่าปี่ อ้างอิงจากหนังสือสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง หน
"จูล่งแก้เกราะออก เห็นอาเต๊านอนหลับก็ดีใจจึงว่าแก่เล่าปี่ว่าบุญของท่านนักหนา บุตรของท่านหาเป็นอันตรายสิ่งใดไม่ และจูล่งอุ้มอาเต๊าส่งให้แก่เล่าปี่ๆ รับอาเต๊า แล้วทำเป็นโกรธทิ้งบุตรลงแล้วว่าเพราะอ้ายจัญไรคนเดียวนี้ จูล่งทหารเอกเราจักแหล่นจะเสียทีแก่ข้าศึกจูล่งเห็นดังนั้นก็ตกใจรีบลุกเข้าไปรับอาเต๊าไว้ได้แล้วคุกเข่าคำนับว่าท่านอย่าโกรธแก่บุตรท่านเลย อันตัวข้าพเจ้านี้ถึงจะตายก็เอาโลหิตทาแผ่นดินไว้ให้ปรากฏ จะขอสนองคุณท่าน"
![]() |
จูล่ง เมื่อพบเล่าปี่ |
งานนี้เล่าปี่เป็นคุมเกมจิตวิทยาได้อย่างสบายๆเลย เพียงแค่โยนลูกตนเองให้จูล่งรับและพูดอะไรนิดหน่อยซักประโยคก็ทำให้จูล่งรู้สึกว่าเล่าปี่เห็นความสำคัญของตนมากกว่าลูกแท้ๆของตน ฝ่ายที่ถูกกระทำอย่างจูล่งคงรู้สึกปลาบปลื่มเป็นอย่างมากแน่นอน ไม่ว่าใครๆได้ฟังคำพูดของเล่าปี่ ก็พร้อมที่จะติดตามเป็นลูกน้องตลอดไป เล่าปี่ได้แสดงให้เห็นว่าการกระทำนี่แหละที่ดีกว่าการให้รางวัลและชมเชยจูล่ง
ในมุมมองของผมนั้น เล่าปี่มีความสามารถการโน้มน้าวและการใช้คำพูดเก่งมากจนน่ากลัวเลยทีเดียว ภายนอกแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอบ้าง แต่ในใจนั้นใหญ่กว่าสิ่งอื่นเลยทีเดียว เล่าปี่ได้สร้างภาพลักษณ์ของตนเองให้เป็นคนที่จิตใจดี แตกต่างกับคนอื่นที่ใช้อิทธิพลของตนก่อให้เกิดความหวาดกลัวซึ่งนำไปสู่การจราจลก็เป็นได้ ด้วยภาพลักษณ์นี้เองทำให้เล่าปี่จึงเหมือนเป็นคนที่ดูเป็นที่ดี ทำให้คนนับถือและชื่นชอบ ทั้งๆที่ภายในก็อาจจะไม่เป็นอย่างนั้น
ผู้อ่านมีข้อคิดเห็นอย่างไรก็ตอบข้างล่างได้เลยครับ ถือเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้กันไปด้วย
5 ความคิดเห็น:
สุดยอดอ่าา วิเคราะห์ดีมากกกกกกกกกกกกกกกก
เล่าปี่เป็นคนมีเสน่ห์อย่างเหลือเชื่อ เวลาพูดก็พูดด้วยคำอันไพเราะ
เวลาเขียนก็เขียนด้วยคำอันวิจิตร เช่นจดหมายที่เขียนถึงโจโฉ หรือขงเบ้ง
ดูนิ่ม ๆ นิ่ง ๆ แต่สิ่งนี้ทำให้เขากลายเป็นคนที่โจโฉเกรงที่สุด
ขอบคุณครับบบบ
คนประเภทเดียวกันก็คงมองกันออกสินะครับ
ชัดเจนครับ
แสดงความคิดเห็น